ใบงานที่4
1.ให้นักศึกษาวิเคราะห์ เปรียบเทียบความแตกต่าง หลักการ ทฤษฎีการบริหารจัดการ แต่ละยุค ทฤษฎีและหลักการบริหารจัดการ (Theory and Principles of Administration) สามารถแบ่งได้ เป็น 4 ยุค ดังนี้
ยุคที่ 1 แนวคิดสมัยคลาสสิคหรือแบบดั้งเดิม (Classic Approaches) เป็นแนวคิดที่เน้นการพัฒนาหลักการบริหารที่เป็นสากล สามารถใช้ได้กับสถานการณ์ต่างๆ ที่หลากหลายได้
ทฤษฎีการจัดการแบบดั้งเดิม หลักการและแนวคิด
– ให้ความสำคัญเกี่ยวกับความสำเร็จของงาน
– มองว่ามนุษย์เป็นเครื่องจักร
– การบริหารงานมีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว
– พนักงานจะมีแรงจูงใจเมื่อการการใช้การบังคับ
– มุ่งเน้นที่องค์การโดยรวม ตลอดจนวิธีการปรับปรุงประสิทธิภาพ (efficiency) และประสิทธิผล (effectiveness)
ทฤษฎีการจัดการแบบดั้งเดิม สามารถแบ่งย่อย ได้ดังนี้
1.1) ทฤษฎีหลักการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
เฟรดเดอริคเทย์เลอร์: Frederick Taylorได้เสนอความเห็นหลักการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ในบทความชื่อ “The Principle of ScientificManagement” มีหลักการว่า
– การอาศัยหลักความเคยชิน (rule of thumb) แบบดั้งเดิม ไม่มีประสิทธิภาพ ใช้การทำงานตามประสบการณ์ของคนงานแต่ละคน คนงานมีแนวโน้มที่จะอู้งาน ถ่วงงาน เกียจคร้านและคอยเลี่ยงงานอยู่ตลอดเวลา
– ผู้บริหารแบบดั้งเดิม มีหน้าที่น้อยมาก งานเบา เพราะการทำงานต่างๆ ขึ้นอยู่กับคนงาน
– ด้วยเหตุดังกล่าวการบริหารแบบดั้งเดิม จึงไม่มีประสิทธิภาพ
หลักการและแนวคิดการจัดการทางวิทยาศาสตร์
1. สร้างหลักการทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์ในขั้นตอนต่างๆ ของงาน แทนการปฏิบัติตามความเคยชิน ได้แก่
1.1 Specialization (ความชำนาญเฉพาะด้าน)
1.2 One Best Way (วิธีการทำงานที่ดีสุดเพียงวิธีเดียว)
1.3 Incentive Wage System (ระบบการจูงใจโดยใช้มาตรฐานของงาน)
1.4 Time and Motion Study (การศึกษาระยะเวลาและการเคลื่อนไหวในการปฏิบัติงาน)
1.5 Piece Rate System (ระบบการจ่ายค่าตอบแทนเป็นรายชิ้น)
2. เป้าหมายของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือ การพยายามเพิ่มประสิทธิภาพ สูงสุด Maximizing efficiency
3. การสร้างกฏเกณฑ์ตามหลักวิทยาศาสตร์ ต้องอาศัยการทดลองอย่างละเอียดตามหลักการศึกษาแบบเวลาและการเคลื่อนไหว time and motion
4. ผลของการศึกษาจะทำให้ได้ขั้นตอนวิธีการเคลื่อนไหวของร่างกายวิธีที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูงสุดวิธีเดียว One best way
5. ระบบการจูงใจเพื่อกระตุ้นให้คนงานทำงานให้ได้มากที่สุด คือการจ่ายค่าจ้างเป็นรายชิ้น Price rate system
1.2) ทฤษฎีหลักการบริหาร (Administrative Principles)
นักทฤษฎีที่สำคัญ คือ เฮนรี่ เฟโยล์ (Henri Fayol) นักวิศวกรอุตสาหกรรมชาวฝรั่งเศสเขียนหนังสือ ชื่อ “General and Industrial Administration”เพื่อค้นหากฎเกณฑ์ในการบริหารที่มีลักษณะเป็นสากล ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ นักบริหารที่ต้องมีภาระหน้าที่เกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อองค์การ
เป็นแนวคิดที่ได้จากการศึกษาผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ จนนำไปสู่การสร้างหลักการบริหารที่มององค์การในภาพรวม และสามารถประสานกิจกรรมต่างๆ ในองค์การด้วยกันได้
แนวคิด ฟาโยว์ อยู่ที่การค้นหากฏเกณฑ์ในการบริหารที่เป็นสากล (Universal) สามารถใช้ได้ทั้งองค์การอุตสาหกรรม องค์การของรัฐ และสถาบันอื่นๆ
ยุคที่ 2 แนวคิดที่เน้นพฤติกรรมมนุษย์ (Behavioral Approaches) เป็นแนวคิดที่เน้นความต้องการของมนุษย์ การทำงานร่วมกันและบทบาทด้านสังคมที่มีผลต่อการทำงานของมนุษย์
ทฤษฎีความต้องการของมนุษย์ของมาสโลว์
ในกลุ่มของความคิดทางด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Human Relation movement) ความคิดของอับบราฮัมเอช. มาสโลว์ในเรื่องความต้องการของมนุษย์มีความโดดเด่นมาก
มาสโลว์พัฒนาทฤษฎีแรงจูงใจที่มีสมมุติฐาน 3 ประการเกี่ยวกับธรรมชาติมนุษย์
1. มนุษย์มีความต้องการที่ไม่สิ้นสุด
2. พฤติกรรมของมนุษย์ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งเป็นไปเพื่อที่จะให้ได้รับในสิ่งที่ต้องการซึ่งยังไม่ได้รับการตอบสนอง
3. ความต้องการของมนุษย์เกิดขึ้นอย่างเป็นลำดับขั้นที่สามารถคาดเดาได้จากระดับล่างสุดไปสู่สูงสุด
ยุคที่ 3 แนวคิดเชิงปริมาณหรือการบริหารศาสตร์ (Quantitative or Management Science Approaches) เป็นแนวคิดที่เน้นการประยุกต์ใช้เทคนิคทางคณิตศาสตร์เพื่อการแก้ไขปัญหาทางการบริหาร
แนวคิดการบริหารเชิงปริมาณเกิดขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งกองทัพของอังกฤษและอเมริกาใช้วิธีการเชิงปริมาณเพื่อวางกลยุทธ์ปกป้องกองเรือของตน เพื่อจัดสรรการใช้ทรัพยากรในการรบ
หลังสงครามโลกสงบลง เทคนิคเชิงปริมาณกลายเป็นที่สนใจและนำมาใช้ในองค์การธุรกิจต่างๆ โดยใช้เทคนิคทางด้านคณิตศาสตร์ สถิติ และข้อมูลต่างๆ เพื่อการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาทางการบริหาร
บริหารศาสตร์และการวิจัยเชิงปฏิบัติการมักจะถูกใช้ในความหมายเดียวกัน เพื่ออธิบายถึงการประยุกต์ใช้เทคนิคทางคณิตศาสตร์เพื่อการแก้ปัญหาทางการบริหาร โดยเริ่มต้นจากการระบุถึงปัญหา การวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นระบบ การเลือกแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ และวิธีการคำนวณที่เหมาะสมเพื่อแสวงหาคำตอบที่ดีที่สุด
ลักษณะเด่นของการบริหารศาสตร์
1. เกี่ยวข้องกับปัญหาที่มีความชัดเจนสามารถระบุออกมาเป็นมาตรฐานที่ต้องการได้
2. เกี่ยวข้องกับทางเลือกของการตัดสินใจที่ชัดเจน สามารถประเมินผลลัพธ์ของแต่ละทางเลือกได้
3. เกี่ยวข้องกับการพัฒนาแบบจำลองเพื่ออธิบายถึงความเกี่ยวพันกับปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการแก้ปัญหา
ยุคที่ 4 แนวคิดสมัยใหม่ (Modern Approaches) เป็นแนวคิดที่มององค์การในฐานะเป็น “ระบบ” (System) และแนวคิดในเชิงสถานการณ์เพื่อการปรับตัวขององค์การให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและผันผวน มีพื้นฐานมาจากแนวคิดในยุคสมัยที่ผ่านๆ มาไม่ว่าจะเป็นสมัยคลาสสิค สมัยที่เน้นพฤติกรรมมนุษย์ หรือสมัยที่เน้นเชิงปริมาณ แนวคิดสมัยใหม่นั้นเห็นว่าไม่มีทฤษฎีหรือแนวคิดใดๆ จะสามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในองค์การได้ทุกกรณี และไม่มีทฤษฎีไหนจะสามารถทดแทนทฤษฎีอื่นๆ ได้อย่างสมบูรณ์
1.แนวคิดเชิงระบบ (System Thinking)
ระบบ หมายถึงที่รวมขององค์ประกอบต่างๆ ที่มีความเกี่ยวพันและทำหน้าที่ร่วมกันเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง ภายในระบบหนึ่งๆ ประกอบไปด้วยระย่อย
องค์การจึงอยู่ในฐานะที่เป็นระบบ ที่ประกอบไปด้วย 4 ส่วนคือสิ่งนำเข้าสู่ระบบ กระบวนการแปลงรูป ผลผลิตที่ออกจากระบบ และข้อมูลป้อนกลับ
2. แนวคิดเชิงสถานการณ์ (Contingency Thinking)
เป็นแนวคิดที่แพร่หลายในช่วงทศวรรษที่ 1960 จากงานวิจัยทั้งทางยุโรปและอเมริกาที่นำเสนอความคิดที่ว่า วิธีการที่ถูกต้องเหมาะสมในการบริหารนั้นขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางสถานการณ์เป็นสำคัญ แนวคิดนี้สนับสนุนให้ผู้บริหารเข้าใจในความแตกต่างของสถานการณ์แวดล้อมและแก้ปัญหาทางการบริหารในวิถีทางที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมนั้นๆ แทนที่จะมุ่งค้นหา “วิธีการที่ดีที่สุด”
ข้อสรุปแนวคิดเชิงสถานการณ์ เป็นแนวคิดชี้ว่า รูปแบบการบริหารที่ใช้ได้ผลในองค์การหนึ่งไม่จำเป็นต้องได้ผลในองค์การอื่นด้วย หรือสิ่งที่เหมาะสมในช่วงเวลาหนึ่งอาจจะไม่เหมาะสมเมื่อเวลาเปลี่ยนไป สถานการณ์ที่ผู้บริหารจะต้องให้ความสำคัญในฐานะเงื่อนไขของการเลือกวิธีการบริหารที่เหมาะสม
3. แนวคิดเรื่องคุณภาพทั่วทั้งระบบ
เป็นแนวคิดที่เน้นการบริหารคุณภาพทั่วทั้งองค์การ เพื่อให้เกิดการปรับปรุงงานอย่างต่อเนื่อง มีการผลิตที่ได้คุณภาพ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงได้รับการกล่าวถึงอย่างทั่วโลก เพราะเป็นหนทางที่ผู้บริหารจะสามารถรับมือกับการแข่งขันในระดับโลกได้
แนวคิดเรื่องคุณภาพทั่วทั้งระบบ
มีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ประการด้วยกัน
1. การมีส่วนร่วมของพนักงาน
2. การเน้นที่ลูกค้า
3. การเปรียบเทียบ
4. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
4. แนวคิดทฤษฎี Z ของญี่ปุ่น
วิลเลี่ยม โออูชิ (William Ouchi) นำเสนอแนวคิดเป็นการรับเอาแนวทางการบริหารของญี่ปุ่นเข้ามาผสมผสานกับแนวการบริหารของอเมริกามีลักษณะสำคัญคือ
1. เน้นการสร้างความมั่นคงในการจ้างงานให้พนักงานเพื่อลดความวิตกกังวลของพนักงานในการถูกเลิกจ้าง
2. เน้นให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
3. เน้นความรับผิดชอบของกลุ่ม การเลื่อนตำแหน่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป
4. เน้นการปรับปรุงคุณภาพ การควบคุมอย่างไม่เป็นทางการ การใส่ใจกับความเป็นอยู่ของพนักงานทั้งในและนอกงาน
5. การให้รางวัลกับพนักงานที่ไม่เพียงพิจารณาจากผลงานเฉพาะตัว แต่พิจารณาถึงการทำงานร่วมกันในกลุ่มเพื่อสร้างการตัดสินใจและการสื่อสารที่ดีระหว่างกัน
2. ให้นักศึกษาวิเคราะห์ เปรียบเทียบความแตกต่าง ทฤษฎีภาวะผู้นำ
ทฤษฎีภาวะผู้นำ การเป็นผู้นำเป็นเรื่องของความสามารถที่เกิดขึ้นเฉพาะตระกูล หรือเฉพาะบุคคลและสืบเชื้อสายกันได้ บุคลิกและลักษณะของการเป็นผู้นำ เป็นสิ่งที่มีมาแต่กำเนิดและเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัว สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ผู้ที่เกิดในตระกูลของผู้นำย่อมจะต้องมีลักษณะผู้นำด้วย แนวคิดเกี่ยวกับผู้นำเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย มีการศึกษาและรวบรวมทฤษฎีเกี่ยวกับภาวะผู้นำ โดยแบ่งตามระยะการพัฒนา ดังนี้
1. ทฤษฎีคุณลักษณะภาวะผู้นำ(Trait Theories)
2. ทฤษฎีพฤติกรรมผู้นำ (Behavioral Theories)
3. ทฤษฎีตามสถานการณ์ (Situational or Contingency Leadership Theories)
4. ทฤษฎีความเป็นผู้นำเชิงปฏิรูป (Transformational Leadership Theories)
1. ทฤษฎีคุณลักษณะภาวะผู้นำ(Trait Theories)
1) The tasks of Leadership : กล่าวถึงงานที่ผู้นำจำเป็นต้องมี 9 อย่าง ได้แก่ มีการกำหนดเป้าหมายของกลุ่ม มีบรรทัดฐานและค่านิยมของกลุ่ม รู้จักสร้างและใช้แรงจูงใจ มีการบริหารจัดการ มีความสามารถในการปฏิบัติการ สามารถอธิบายได้ เป็นตัวแทนของกลุ่ม แสดงถึงสัญลักษณ์ของกลุ่ม และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
2) Leader– constituent interaction เชื่อว่าผู้นำต้องมีพลังวิเศษเหนือบุคคลอื่นหรือมีอิทธิพลเหนือบุคคลอื่นๆเพื่อที่สนองตอบความต้องการขั้นพื้นฐาน ความคาดหวังของบุคคล และผู้นำต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง สามารถพัฒนาตนเองและพัฒนาให้ผู้ตามมีความแข็งแกร่ง และสามารถยืนอยู่ด้วนตนเองอย่างอิสระ
2. ทฤษฎีพฤติกรรมผู้นำ
แนวคิดหลักของทฤษฎี คือ ให้มองในสิ่งที่ผู้นำปฏิบัติและชี้ให้เห็นว่าทั้งผู้นำและผู้ตามต่างมีอิทธิพลซึ่งกันและกัน Kurt Lewin’ s Studies Lewin แบ่งลักษณะผู้นำเป็น 3 แบบ คือ
(1) ผู้นำแบบอัตถนิยมหรืออัตตา จะตัดสินใจด้วยตนเองไม่มีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์แน่นอนขึ้นอยู่กับตัวผู้นำเอง คิดถึงผลงานไม่คิดถึงคน ผลของการมีผู้นำลักษณะนี้จะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง และไม่เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
(2) ผู้นำแบบประชาธิปไตย ใช้การตัดสินใจของกลุ่มหรือให้ผู้ตามมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ รับฟังความคิดเห็นส่วนรวม ทำงานเป็นทีม
(3) ผู้นำแบบตามสบายหรือเสรีนิยม จะให้อิสระกับผู้ใต้บังคับบัญชาเต็มที่ในการตัดสินใจแก้ปัญหา จะไม่มีการกำหนดเป้าหมายที่แน่นอน ไม่มีหลักเกณฑ์ ไม่มีระเบียบ จะทำให้เกิดความคับข้องใจหรือความไม่พอใจของผู้ร่วมงานได้และได้ผลผลิตต่ำ การทำงานของผู้นำลักษณะนี้เป็นการกระจายงานไปที่กลุ่ม
3. ทฤษฎีตามสถานการณ์
1) แนวคิดทฤษฎี 3 – D Management Style เป็นทฤษฎีที่นำปัจจัยสิ่งแวดล้อมของผู้นำมาพิจารณาว่ามีความสำคัญต่อความสำเร็จของผู้บริหาร ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมหรือสถานการณ์ที่อำนวยให้
2) Theory Z Organization William Ouchi เชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์และความดีอยู่ในตัว ควรเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้มีส่วนร่วมในการพัฒนางานและมีการกระจายอำนาจไปสู่ส่วนล่างและพัฒนาถึงคุณภาพชีวิต ผู้นำเป็นเพียงผู้ที่คอยช่วยประสานงาน ร่วมคิดพัฒนาและใช้ทักษะในการอยู่ร่วมกัน
3) Life – Cycle Theories เฮอร์เซย์และบลันชาร์ด ได้เสนอทฤษฎีวงจรชีวิต โดยได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีเรดดินและยังยึดหลักการเดียวกัน คือ แบบภาวะผู้นำอาจมีประสิทธิผลหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
4. ทฤษฎีความเป็นผู้นำเชิงปฏิรูป
ทฤษฎีความเป็นผู้นำเชิงปฏิรูป ผู้บริหารควรมีลักษณะความเป็นผู้นำเชิงเป้าหมาย โดยอธิบายว่า เป็นวิธีการที่ผู้บริหารจูงใจผู้ตามให้ปฏิบัติตามที่คาดหวังไว้ ด้วยการระบุข้อกำหนดงานอย่างชัดเจน และให้รางวัล เพื่อการแลกเปลี่ยนกับความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายของผู้ตาม การแลกเปลี่ยนนี้จะช่วยให้สมาชิกพึงพอใจในการทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายของงาน สรุปลักษณะผู้นำเป็น 3 แบบ ได้แก่
1) ผู้นำการแลกเปลี่ยน ผู้นำที่ติดต่อกับผู้ตามโดยการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน และสิ่งแลกเปลี่ยนนั้นต่อมากลายเป็นประโยชน์ร่วมกัน ลักษณะนี้พบได้ในองค์กรทั่วไป เช่น ทำงานดีก็ได้เลื่อนขั้น ทำงานก็จะได้ค่าจ้างแรงงาน และในการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรมีข้อแลกเปลี่ยนกับชุมชน เช่น ถ้าตนได้รับการเลือกตั้งจะสร้างถนนให้ เป็นต้น
2) ผู้นำการเปลี่ยนแปลง ผู้นำที่ตระหนักถึงความต้องการของผู้ตาม พยายามให้ผู้ตามได้รับการตอบสนองสูงกว่าความต้องการของผู้ตาม เน้นการพัฒนาผู้ตาม กระตุ้นและยกย่องซึ่งกันและกันจนเปลี่ยนผู้ตามเป็นผู้นำ และมีการเปลี่ยนต่อๆกันไป เรียกว่า Domino effect ต่อไปผู้นำการเปลี่ยนแปลงก็จะเปลี่ยนเป็นผู้นำจริยธรรม ตัวอย่างผู้นำลักษณะนี้ ได้แก่ ผู้นำชุมชน
3) ผู้นำจริยธรรม ผู้นำที่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ตาม ซึ่งผู้นำจะมีความสัมพันธ์กับผู้ตามในด้านความต้องการ ความปรารถนา ค่านิยม และควรยึดจริยธรรมสูงสุด คือ ความเป็นธรรมและความยุติธรรมในสังคม ผู้นำลักษณะนี้มุ่งไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ตอบสนองความต้องการ และความจำเป็นอย่างแท้จริง